ความคิดเห็นต่อการบรรยาย
Achor เล่าว่าเมื่อตอนเขาอายุได้ 7 ขวบ และน้องสาวของเขาก็อายุได้ 5 ขวบ เขาก็ได้เล่นแบ่งเตียงเป็นค่ายทหารกันโดยเป็นเตียง 2 ชั้น หมายถึงว่าจะต้องมีการกระโดด มีการยิงกัน ก็อาจจะมีบาดเจ็บบ้าง และมีอยู่เหตุการณ์นึงที่ทำให้น้องสาวเขาบาดเจ็บที่แขน พ่อแม่ก็เลยห้ามไม่ให้เล่นอะไรที่มันจะเป็นอันตราย ต่อมาเขาก็ไม่หยุดที่จะเล่น น้องสาวของเขาก็ได้กระโดดลงมาและกำลังจะร้องไห้ แต่เขาก็พูดกับน้องสาวว่า “การที่ทำแบบนี้ได้เก่งมากเลยนะ คนในวัยเดียวกันไม่สามารถทำได้แบบเธอด้วยซ้ำ” และพูดต่อไปอีกว่า “เธออาจจะเป็นยูนิคอร์นก็ได้นะ” การที่เขาทำแบบนี้เหมือนเพิ่มทางเลือกให้น้องสาวเขาได้คิดว่า การที่กระโดดลงมาแบบนี้มันเหมือนเป็นสิ่งมหัศจรรย์ไปเลย ปัญหาที่เคยเกิดขึ้นก็ได้หายไป.
สิ่งที่เกิดขึ้นกับเขาและน้องสาวบ่งบอกว่าการเปลี่ยนแปลงของระบบสมองได้อุบัติขึ้นมาแล้ว รวมถึง 2 ศตวรรษ ที่ผ่านมาก็ได้ชี้ชัดว่าสมองมนุษย์สามารถทำงานได้อย่างไร เขาก็ได้ไปพบกับสิ่งที่เรียกว่า Positive Psychology ซึ่งเป็นเหตุผลที่เขาได้มายืนอยู่ตรงนี้ และเป็นเหตุผลเดียวกับที่เขาตื่นขึ้นมาทุกเช้าเช่นกัน.
เมื่อเขาได้เข้าถึงสื่อการเรียนรู้ ไม่ว่าจะเป็นบริษัทหรือว่าโรงเรียนก็ตาม อย่างแรกเลยพวกเขาบอกว่าห้ามทำกราฟเด็ดขาด แต่ก็เป็นสิ่งแรกที่เขาทำคือการทำกราฟ และกราฟที่เขานำมาคือข้อมูลหลอก ซึ่งไม่มีความจริงอยู่เลย กราฟนี้แสดงถึงคนแปลกที่อยู่ในห้องนี้ ซึ่งก็อาจจะดูออกว่าเป็นใคร ทว่า สิ่งที่เขากำลังจะสื่อคือ การที่เราแค่ตัดจุดบกพร่องออกไป ไม่ว่าจะเป็นสถิติของเศรษฐศาสตร์ หรือจิตวิทยาก็ตามแต่ ก็มักจะกำจัดคนแปลกออกไป ซึ่งมันเป็นวิธีที่ง่ายที่สุด ที่จะทำให้ข้อมูลสถิติออกมาสมบูรณ์แบบ.
เขาถามว่า คุณใช้ยา Advil ครั้งละกี่เม็ด ส่วนมากก็ 2 เม็ด แต่ความน่าสนใจอยู่ที่ศักยภาพของคุณ เช่น ความสุข ประสิทธิผล พลังงาน หรือการสร้างสรรค์ สิ่งเหล่านี้จะสร้างวัฒนธรรมให้กับวงการวิทยาศาสตร์ คำถามต่อมาก็คือ “เด็กสามารถเรียนรู้การอ่านในห้องเรียนได้เร็วมากแค่ไหน” และข้อมูลวิทยาศาสตร์เปลี่ยนคำถามเล็กน้อยเป็น “ค่าเฉลี่ยของเด็กที่สามารถเรียนรู้การอ่านในห้องเรียนได้เร็วมากแค่ไหน”.
ในทางจิตวิทยาแล้วจะมีข้อมูลบางคนที่ไม่เข้าร่วมกลุ่ม ซึ่งเป็นอะไรที่น่าตื่นตกใจมาก ก็เพราะนั่นคือคุณอาจจะเป็นโรคซึมเศร้า ไม่ก็เป็นโรคผิดปกติอะไรสักอย่าง หรือหวังว่าคุณจะเป็นทั้งสองอย่างนี้เลย ในรูปแบบธุรกิจนั้นจะทำให้ก่อเกิดกระบวนการรักษามากยิ่งขึ้น ซึ่งจะทำให้คุณรู้สึกว่าต้องเข้ารับการรักษา และถ้าจำเป็นก็อาจจะให้คุณย้อนกลับไปในวัยเด็ก เพื่อที่คุณจะได้กลับมาเป็นปกติเหมือนตอนสมัยก่อน แต่คำว่าปกตินั้นมันก็เป็นแค่ค่าเฉลี่ยเช่นเดียวกัน.
แทนที่เราจะลบส่วนเกินของข้อมูลสถิติออกไป สิ่งที่เราควรทำต่อจากนั้นคือ ตั้งใจจะทำแบบคนที่แตกต่างนั้น ค้นคว้าหาข้อมูลว่า “ทำไมบางคนถึงหลุดกรอบออกจากคนอื่น ๆ เหล่านั้น” และ “ทำไมบางคนถึงมีค่าเฉลี่ยสูงกว่าคนอื่นทั่วไป” ไม่ว่าจะเป็นในแง่มุมของ ความคิด ความแข็งแรง ทักษะด้านดนตรี ความยืดหยุ่นในการเผชิญหน้ากับความท้าทาย หรือความไวต่ออารมณ์ขัน อะไรก็ตามที่เราจะลบมัน ให้เปลี่ยนเป็นเราต้องการเรียนรู้เรื่องนั้นแทน.
เขาบอกต่ออีกว่ากราฟนี้มีส่วนสำคัญสำหรับเขามากก็เพราะ ข้อมูลสถิติส่วนใหญ่ ได้แก่ ฆาตกรรม คอร์รัปชัน โรคภัย หรือภัยทางธรรมชาตินั้น มันทำให้หลายคนคิดว่า นั่นคือสัดส่วนที่แม่นยำที่สุด ทั้งในแง่ลบไปจนถึงแง่บวกที่เกิดขึ้นกับโลกใบนี้ สิ่งเหล่านี้มักจะเกิดขึ้นกับนักศึกษาแพทย์เช่นกัน มันถูกเรียกว่า The Medical School Syndrome ในนักศึกษาปีแรกที่ได้จดจำรายชื่อของอาการ หรือโรคต่าง ๆ จะทำให้พวกเขามักจะคิดว่า เขาก็เป็นโรคเหล่านั้นเหมือนกัน.
มันมีความเกี่ยวโยงกับพี่เขยของเขา ซึ่งเรียนจบจาก Yale Medical School และได้โทรมาหาเขาว่า “ผมคิดว่าผมเป็นโรคเรื้อน” ซึ่งอาการนี้เกิดขึ้นได้ยากมากที่มหาวิทยาลัยนี้ แต่เหตุผลจริง ๆ คือเหมือนจะเผชิญหน้ากับความเครียดที่เปรียบเสมือนกับวัยหมดประจำเดือนมาทั้งอาทิตย์มากกว่า.
ซึ่งก็จะค้นพบคำตอบว่า ไม่จำเป็นเลยที่จะต้องให้ความจริงถูกดัดแปลงไป แต่มุมมองผ่านความคิดไปยังโลกใบนี้เป็นตัวดัดแปลงสู่ความเป็นจริงมากกว่า และถ้าคุณสามารถเปลี่ยนมุมมองได้ ไม่ใช่ว่าจะสามารถเปลี่ยนแปลงความสุขได้แค่นั้น แต่รวมถึงสามารถเปลี่ยนทุก ๆ สิ่งของระบบการศึกษา และผลลัพธ์ของธุรกิจได้ในเวลาเดียวกัน.
ในช่วงเวลาที่เขาได้เข้ารับการศึกษาที่ Harvard นั้นเขาสมัครด้วยความกล้า ตอนนั้นครอบครัวเขาไม่มีเงินส่งเสียพอต่อค่าเทอมด้วยซ้ำ แต่จังหวะดีที่ได้ทุนการศึกษาของทหาร จากความคิดที่ไม่สามารถเข้าเรียนได้ ก็สามารถเป็นไปได้เหมือนกัน ในตอนแรกที่เขาเข้าไปในมหาวิทยาลัยแล้วรู้สึกว่าทุกคนดูดีกันมาก ๆ ในระยะเวลาการเรียนจบ 4 ปี ซึ่งเขาได้ใช้เวลา 8 ปี อยู่ในมหาวิทยาลัยต่อ ซึ่งมหาวิทยาลัยให้เขาอยู่ต่อ ซึ่งเขาได้เป็นเจ้าหน้าที่สำหรับแนะนำนักเรียน และก็หาข้อมูลวิจัย รวมถึงสอนนักศึกษาเช่นกัน.
สิ่งที่เขาได้ถามก็คือ “นักศึกษาที่มหาวิทยาลัยมีความสุขในการได้เข้าเรียนไหม” แต่คำตอบกลับกลายเป็น “หลังจาก 2 อาทิตย์ ที่ได้เข้าเรียนแล้ว พวกเขากับเจอความท้าทายต่อไปคือ งานเยอะ มีปัญหาทะเลาะกัน ความเครียด และการก่นด่ากัน” เมื่อเขาได้เข้ามหาวิทยาลัยไปแล้ว สถานที่แรกที่เขาเดินเข้าไปคือห้องอาหารของนักศึกษา มันเป็นที่แรกที่ได้เจอเพื่อนที่อยู่ Waco, Texas ซึ่งเป็นที่เดียวกับที่เขาเติบโตมา และห้องอาหารนั้นก็อยู่ในหนังเรื่อง Harry Potter ในโรงเรียน Hogwarts.
เขามักจะได้เจอคำถามประมาณว่า “ทำไมถึงต้องเสียเวลาศึกษาเรื่องความสุขในมหาวิทยาลัยด้วยล่ะ” เขาเลยเกิดคำถามขึ้นว่า “มีอะไรบ้างที่นักศึกษาในมหาวิทยาลัยนี้มักจะไม่มีความสุข” ถ้าเรานำคำถามนี้ผูกติดเข้าด้วยกัน มันคือกุญแจที่จะเข้าใจวิทยาศาสตร์ความสุขได้ ซึ่งโดยทั่วไปมักจะบ่งบอกว่าความสุขเกิดจากสิ่งภายนอก และมักจะเป็นตัวทำนายระดับความสุขของเรา แต่เขาได้ชี้ชัดว่า มีเพียง 10% เท่านั้นที่คนจะมีความสุขกับสิ่งภายนอกได้ และมีจำนวนมากถึง 90% ที่เกิดจากการประมวลผลต่อสิ่งภายนอกนั้น ก็ถ้าเราสามารถเปลี่ยนสมการสำหรับความสุข และความสำเร็จได้ เราก็จะสามารถเปลี่ยนมุมมองต่อความจริงได้.
สิ่งที่ได้ค้นพบอีกอย่างก็คือมีเพียง 25% ของคนที่ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานมาจาก IQ และ 75% ของคนที่ประสบความสำเร็จจะเกิดจาก การมองโลกในแง่ดี สังคมแวดล้อม ทักษะในการมองเห็นความเครียดว่าเป็นความท้าทาย มากกว่าการมองว่าเป็นภัยคุกคาม.
เขาได้เคยคุยกับเด็กนักเรียนโรงเรียนประจำใน New England ที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง และพวกเขาบอกว่า “พวกเขารู้ทั้งหมดแล้ว” ก็เพราะว่าทุกคืนจะมีการฝึกฝนเพื่อมีสุขภาพที่ดีขึ้น เช่น คืนวันจันทร์จะมีคนที่เชี่ยวชาญระดับโลกพูดถึงโรคซึมเศร้าในวัยรุ่น คืนวันอังคารจะสอนเกี่ยวกับความรุนแรงและการกลั่นแกล้ง คืนวันพุธจะสอนเกี่ยวกับการกินอย่างถูกสุขอนามัย คืนวันพฤหัสบดีจะสอนเกี่ยวกับยาเสพติดที่ผิดกฎหมาย คืนวันศุกร์จะสอนเกี่ยวกับการตัดสินใจเลือกระหว่าง ปัญหาที่ตามมาของเพศสัมพันธ์เมื่อเทียบกับความสุขที่ได้รับ และถ้ายังมีการสอนแบบนี้ต่อไปมันอาจจะไม่ใช่การฝึกฝนเพื่อมีสุขภาพที่ดีขึ้น แต่กลับกลายเป็นการฝึกฝนให้สุขภาพแย่ลงก็เป็นได้.
สิ่งที่เขาได้เน้นย้ำคือถ้าเรามัวแต่พูดสิ่งที่ไม่ดีอยู่ และไม่พูดเกี่ยวกับสิ่งที่ดีเลย ซึ่งการที่ขาดการเรียนรู้เรื่องโรคภัยก็ทำให้ส่งผลเสียได้ ใน 3 ปีที่ผ่านมานี้ เขาได้เดินทางไปยัง 45 ประเทศทั่วโลก ได้มีการประสานงานกับโรงเรียน และบริษัทที่อยู่ในช่วงเผชิญหน้ากับเศรษฐกิจชะลอตัว และสิ่งที่เขาได้ค้นพบก็คือ ทุกแห่งล้วนมีสมการเดียวกันก็คือ “ถ้าคุณทำงานหนัก คุณจะยิ่งมีโอกาสประสบความสำเร็จมากขึ้น” และต่อไปยังว่า “ยิ่งคุณประสบความสำเร็จมาก คุณก็จะยิ่งมีความสุขมากขึ้นตาม”.
สิ่งเหล่านี้จะอยู่ภายใต้การเลี้ยงดู และการบริหารจัดการ รวมถึงหนทางที่เราผลักดันตัวเองเช่นกัน และมี 2 เหตุผล ซึ่งเป็นปัญหาขัดแย้งต่อข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ ส่งผลให้เป็นตัวทำลายความเข้าใจ และถูกย้อนหลังกลับไปด้วย อย่างแรกเลยคือ ทุกครั้งที่สมองเจอความสำเร็จแล้ว สมองจะทำหน้าที่เลื่อนความสำเร็จออกไปเรื่อย ๆ เหมือนกับว่ายิ่งเราเรียนได้เกรดนี้ เราก็อยากจะได้เกรดดีขึ้นอีก ถ้าเราทำงานนี้ เราก็อยากเลื่อนขั้นขึ้นไปอีก มันเป็นตัวชี้วัดว่า คุณจะไม่สามารถถึงจุดความสำเร็จได้จริง ๆ เราใช้ความสำเร็จเป็นตัววัดค่าที่มีต่อสังคม ก็เพราะเราคิดว่าถ้าเราประสบความสำเร็จ เราก็จะมีความสุขมากขึ้น แล้วถ้าคุณสามารถยกระดับความคิดของคุณให้อยู่ ณ ปัจจุบันนี้ได้ สมองจะเรียนรู้ว่าตอนนี้คือผลพลอยได้ความสุข ซึ่งความคิดในแง่ดีจะคอยจัดการความคิดในแง่ลบออกไป มันทำให้ความฉลาดเพิ่มขึ้น ความคิดสร้างสรรค์เพิ่มขึ้น รวมถึงพลังงานก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน.
ถ้าคุณสามารถนำผลพลอยได้ความสุขมาใช้ในชีวิต ก็จะส่งผลให้การทำงานดีขึ้น สมองที่คิดในแง่ดีจะทำให้เกิดประสิทธิผลดีขึ้นถึง 31% มากกว่าสมองที่คิดในแง่ลบ กลาง ๆ หรือกำลังเครียดอยู่ การขายก็จะดีขึ้นถึง 37% หมอก็จะทำให้วินิจฉัยโรคได้แม่นยำมากยิ่งขึ้นถึง 19% ข้อมูลเหล่านี้จะเป็นตัวบ่งชี้ว่ายิ่งเราเข้าถึงผลพลอยได้ความสุขมากเท่าไร เราก็จะประสบความสำเร็จมากยิ่งขึ้น สิ่งที่เราต้องทำคือปรับเปลี่ยนโครงสร้างสมการเดิมในความคิดของเรา ก็เพราะสมองจะหลั่งสารโดพามีนขึ้นมาก็ต่อเมื่อเรามีความคิดในแง่บวก ซึ่งมีอยู่ 2 ปัจจัย ที่มันไม่เพียงทำให้คุณมีความสุขเท่านั้น แต่มันคือตัวทำให้เราเปิดรับการเรียนรู้ใหม่ ๆ ได้ รวมถึงปรับตัวเข้ากับสิ่งภายนอกได้ด้วย.
สร้างความคิดในแง่บวกให้เปลี่ยนแปลงแบบระยะยาว (Creating lasting positive change)
การสร้างพฤติกรรมจะทำให้เราสามารถฝึกฝนสมองให้มีความคิดในแง่บวกได้ ซึ่งใช้เวลาเพียง 2 นาที ติดต่อกัน 21 วัน ก็จะทำให้สมองนั้นถูกเชื่อมต่อกันใหม่ มีผลทำให้มองโลกในแง่ดีมากขึ้น และก็มีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จมากขึ้นตาม.
1. ให้เขียน 3 สิ่งที่เราประทับใจในแต่ละวัน (3 Gratitudes)
2. ให้จดบันทึกประสบการณ์ที่ดีในแต่ละวัน (Journaling)
3. ออกกำลังกายทุกวัน (Exercise)
4. นั่งสมาธิทุกวันจะช่วยทำให้เยียวยาโรคสมาธิสั้นได้ (Meditation)
5. สุ่มการทำความดีกับผู้คน อย่างเช่น ตอบอีเมลกลับด้วยคำพูดที่ดี (Random Acts of Kindness)
การทำงานหนักไม่ใช่หนทางของความสุขที่แท้จริง
Shawn Achor