ความแข็งแกร่งทางอารมณ์คือพลังและของขวัญ

ความแข็งแกร่งทางอารมณ์คือพลังและของขวัญ

ความคิดเห็นต่อการบรรยาย

การทักทายคำว่า “Suwabona” ในแอฟริกาใต้ คำของชนเผ่า Zulu หมายถึงฉันเห็นคุณและกำลังจ้องมองคุณอยู่ ฉันจะนำคุณไปยังการเริ่มต้น นั่นหมายถึงหลายคนมีอารมณ์ที่แตกต่างในมุมมองต่อความหมาย ต่อชีวิตและต่อสิ่งต่าง ๆ รอบตัว มันคือการที่เรียนรู้ที่จะแข็งแกร่ง David เชื่อว่าอารมณ์ไม่สามารถตัดสินได้ว่าดีหรือแย่ แต่ถ้าเราใช้มันไม่เป็นมันจะเป็นพิษแก่ตัวของเราเอง.

1. ความแข็งแกร่งทางอารมณ์ และความคล่องแคล่วทางอารมณ์ (Emotional rigidity and emotional agility)

เราต้องการพัฒนาตนเองไปสู่จุดที่ก้าวหน้าอย่างแท้จริง มันคือการเผชิญหน้ากับปัญหาด้วยความยืดหยุ่นและก้าวหน้าต่อไปเรื่อย ๆ เมื่อเรียนรู้เกี่ยวกับการไม่ยอมรับตัวตน มันทำให้ตระหนักรู้ว่าชีวิตคืออะไร หลังจากที่พ่อของเธอได้จากโลกนี้ไป เธอได้เรียนรู้วิธีการที่จะอยู่อย่างมีความสุข รวมถึงทำยังไงให้เข้าใจชีวิตมากยิ่งขึ้น.

แต่ปัญหาไม่ใช่หยุดอยู่แค่นั้นเพราะพ่อได้ทิ้งปัญหาไว้มากมาย และการจัดการก็ต้องเริ่มตั้งแต่ตอนนั้น ความทุกข์เริ่มถาโถมเข้ามา เมื่อได้ตอบคำถามที่สำคัญว่า “ตอนนี้ฉันทุกข์เกี่ยวกับเรื่องอะไรมากที่สุด” และตอบอย่างจริงใจให้มากที่สุด มันทำให้ 30 ปี ที่ผ่านมามีคำตอบอยู่ในสมุดโน้ตเล่มนี้ ด้วยคำตอบนั้นทำให้รู้จักคำว่าความคล่องแคล่วทางอารมณ์.

2. ชีวิตเป็นสิ่งสวยงามมันไม่สามารถแยกออกจากความเปราะบางไปได้ (Life’s beauty is inseparable from its fragility)

เราทุกคนล้วนยังวัยรุ่นหรือแม้กระทั่งไม่ใช่ก็ตาม เรามีร่างกายที่แข็งแรงจนกระทั่งเราได้รับการวินิจฉัยโรคว่าเป็นโรคภัย รวมถึงไม่ว่าจะเป็นแง่มุมไหนในสังคมก็จะทำให้เราไม่สามารถมีความแข็งแกร่งทางอารมณ์ได้ เนื่องจากสิ่งแวดล้อมรอบตัวเราทำให้เราออกจากความเป็นตัวเอง.

เธอได้ทำแบบสอบถามกว่า 70,000 คน และค้นพบว่า 3 ส่วนจากจำนวนทั้งหมด แต่ละคนล้วนแต่ตัดสินตัวเองว่าเรามีอารมณ์ที่ไม่ดี เช่น ความเศร้า ความโกรธ แม้กระทั่งความทุกข์ระทมก็ตาม หรือแม้กระทั่งพยายามควบคุมอารมณ์นั้น มันทำให้ไม่มีใครสามารถช่วยคนเหล่านี้ได้ก็เพราะว่า เขาเหล่านั้นไม่ตระหนักรู้ถึงอารมณ์ที่เข้ามา สิ่งที่เธอได้เรียนรู้จากข้อมูลเหล่านี้ทำให้ตระหนักรู้ว่าไม่สามารถปฏิเสธอารมณ์ที่เข้ามาได้.

ในความเป็นจริงของวิจัยต่าง ๆ ย่อมบอกชัดว่าการที่เรายิ่งต่อต้านอารมณ์ที่เข้ามาเพียงใด อารมณ์นั้นจะยิ่งแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น เหมือนกับว่าเราไปเพิ่มพลังให้กับอารมณ์นั้น เปรียบเหมือนอบช็อคโกแลตในไมโครเวฟ ยิ่งคุณไม่สนใจมัน มันจะยิ่งเละเทะมากยิ่งขึ้น เมื่อเราไม่เข้าใจสิ่งที่มันเป็นไปจริง ๆ เราจะสูญเสียการยอมรับความจริง มันทำให้เรามองไม่เห็นสิ่งที่เป็นไป.

คนที่ตายไปแล้วเท่านั้นที่มองไม่เห็นความหวังในชีวิตที่ยังหลงเหลืออยู่ แม้กระทั่งการที่เขาเหล่านั้นจะไม่สามารถดื่มด่ำกับเหตุการณ์ต่าง ๆ คุณไม่สามารถหลีกเลี่ยงความเครียดหรือปัญหาใด ๆ ได้ก็ในเมื่อเรายังใช้ชีวิตอยู่มันเป็นเรื่องธรรมดาที่จะต้องเจอปัญหาในชีวิต.

3. ความลำบากมันคือราคาที่เราต้องใช้จ่ายเพื่อผ่านไปยังชีวิตที่มีความหมาย (Discomfort is the price of admission to a meaningful life)

มันเป็นไปได้ไหมที่เราจะโอบกอดอารมณ์อันแท้จริง ความเจ็บปวด ความทุกข์ ความสูญเสีย หรือความเศร้า วิจัยได้แสดงให้เห็นว่ายิ่งเราสามารถยอมรับมันได้อย่างใจจริง แม้ปัญหาที่ยุ่งยากสักแค่ไหน มันคือผลึกที่เราจะสามารถมีความยืดหยุ่น ความสำเร็จ และความสุขที่แท้จริง และไม่ใช่แค่การยอมรับมัน.

4. การยอมรับและความแม่นยำ (Acceptance and accuracy)

ในวิจัยของเธอเองก็พบว่าแต่ละคำมีความลึกซึ้งแตกต่างกัน มันไม่ใช่แค่คำ ๆ นั้นแล้วอธิบายถึงอารมณ์นั้น มันต้องกำหนดค่าให้แม่นยำมากขึ้นกว่านั้นอีก เพราะถึงแม้ว่าจะมีหลากหลายอารมณ์แต่เราต้องระบุให้ได้ว่าจะแก้ไขมันยังไง อารมณ์นั้นก็คือข้อมูลที่เข้ามาอย่างไม่หยุดยั้ง.

5. อารมณ์คือข้อมูล แต่ไม่ใช่คำสั่ง (Emotions are data not directives)

คุณเคยรู้สึกโมโหในการอ่านข่าวบ้างไหม มันเหมือนกับเราจะรู้สึกว่ามันจริงมาก แต่นั่นแหละมันไม่ใช่ทั้งหมดของอารมณ์เพราะในความเป็นจริงแล้วอารมณ์ไม่ได้ส่งข้อมูลมาโดยตรง มันคืออารมณ์นั้นนำพาไปสู่การกำหนดค่าให้เรื่องราวนั้น ๆ เรามักจะเลือกหนทางที่ดีที่สุดในชีวิตผ่านอารมณ์ที่หลากหลาย แล้วอะไรล่ะที่อารมณ์กำลังสื่อกับคุณอยู่ ก็ในเมื่อคุณไม่ใช่อารมณ์แต่อารมณ์นั้นเป็นแค่แหล่งข้อมูลที่เข้ามาให้คุณรับรู้ แล้วเมื่อไหร่ก็ตามที่เรากำหนดค่าใหม่จะต้องใช้ประโยคนี้เพื่อหาค่าให้กับอารมณ์.

6. ฉันคือ _ ฉันเตือนตัวเองเสมอว่าฉันรู้สึก _ (I am _, I’m noticing I’m feeling _)

นี่คือทักษะทำให้เราสามารถดึงศักยภาพของตัวเองได้อย่างแท้จริง มันทำให้ความหลากหลายนั้นมาตอบโจทย์ในชีวิตมากขึ้น มันทำให้มีคำถามเกิดขึ้นว่า “อารมณ์กำลังสื่อถึงฉันว่าอะไร” “การกระทำใดเล่าจะนำฉันไปสู่คุณค่า” และ “อะไรเล่าจะดึงฉันออกจากคุณค่า”.

เมื่อตอนที่เธอเป็นเด็กมันทำให้รู้สึกว่าความตายเป็นสิ่งที่น่ากลัว พ่อของเธอก็ได้มาตบไหล่เบา ๆ และพูดว่า “ทุกคนก็ต้องตายกันทั้งนั้นนะ Susie มันไม่แปลกเลยที่เราจะกลัวมัน” พ่อเธอจะสื่อว่าความจริงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ มันทำให้ต้องถามต่อไปว่า “เราบอบบางไหม” เพราะว่าความบอบบางนี่แหละที่ทำให้เรายืนหยัดอยู่บนโลกนี้อย่างสง่างาม.

เมื่อเริ่มต้นยอมรับความจริงตรงหน้า ก็จะทำให้ความคล่องแคล่วทางอารมณ์สมบูรณ์ขึ้น

Susan David

สามารถซื้อหนังสือได้ที่

Amazon
Books Kinokuniya